บทความ

<p>ข้อมูลสารสกัดและนวัตกรรมใหม่ๆ เกี่ยวกับ <strong>โรงงานผลิตอาหารเสริม เซน ไบโอเทค</strong></p>

นอนยังไงให้ได้สุขภาพ และดีต่อสุขภาพสูงสุด

นอนยังไงให้ได้สุขภาพ และดีต่อสุขภาพสูงสุด ควรนอนเท่าไหร่ถึงจะเพียงพอ และได้ประสิทธิภาพสูงสุด โดยปกติเราจะมีนอนพักผ่อนตามตารางเวลาชีวิต แต่จะต้องนอนอย่างไรจึงจะดีต่อสุขภาพมากที่สุด และตื่นมาด้วยความสดชื่นที่สุด วันนี้ Zenbiotech จะนำเกร็ดความรู้มาให้ทุกคนได้ทราบกันค่ะ เทคนิคการเพิ่มประสิทธิภาพการนอน ให้มีคุณภาพ ชั่วโมงการนอน ควรนอนให้ได้วันละ 7-8 ชั่วโมง ซึ่งแต่ล่ะช่วงอายุจะมีเวลานอนที่แตกต่างกัน เช่น วัยกลางคนหรือผู้ใหญ่ทั่วไป ควรนอนอยู่ที่ 7-8 ชั่วโมง ส่วนเด็กเล็กควรนอนวันละ 11-13 ชั่วโมง คุณภาพในการหลับ คือ ครบวงจรทุกระยะการหลับ ทั้งหลับตื้น หลับลึกและหลับฝัน ให้ครบทุกระยะเพราะมีความสัมพันธ์กัน วงจรการหลับ 3 ระยะ หลับตื้น เป็นระยะแรกที่มีการหลับตื้นอย่างแท้จริง แต่ยังไม่มีการฝัน หลับลึก ร่างกายจะเข้าสู่โหมดพักผ่อนเมื่อเข้าสู่ระยะหลับลึกเป็นช่วงหลับสนิทที่สุดของการนอนใช้เวลา 30 – 60 นาที หลับฝัน อีกระยะหนึ่งที่สำคัญคือ ช่วงหลับฝันร่างกายจะได้พักผ่อน แต่สมองจะยังตื่นตัวอยู่ นอกจากนี้การหลับฝันยังช่วยจัดระบบความจำในเรื่องของทักษะต่าง ๆ   อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเหล่านี้ยังขึ้นอยู่กับช่วงวัยอายุอีกด้วย เนื่องจากการทำงานของสมองแต่ละช่วงวัยไม่เหมือนกัน และเพื่อการพักผ่อนอย่างเต็มที่ Zenbiotech นอนยังไงให้ได้สุขภาพ และดีต่อสุขภาพสูงสุด

รู้หรือไม่ถั่วลิสงมีสารพิษที่ชื่อว่า “อะฟลาท็อกซิน”

รู้หรือไม่ถั่วลิสงมีสารพิษที่ชื่อว่า “อะฟลาท็อกซิน” ปัจจุบันอันตรายจากการกินอาหารของคนเรามีมากขึ้นกว่าเดิม แม้แต่วัตถุดิบจากธรรมชาติก็ไม่ได้มีความปลอดภัยเสมอไป หากการเก็บรักษาวัตถุดิบเหล่านี้ไม่เหมาะสม อาจจะก่อให้เกิดสารพิษที่เป็นอันตรายต่อร่างกายได้ สารพิษที่ว่า คือ “อะฟลาท็อกซิน” องค์การอนามัยโลกกำหนดให้สารอะฟลาท็อกซินเป็นสารก่อมะเร็งที่ร้ายแรงมากชนิดหนึ่ง โดยปริมาณเพียง 1 ไมโครกรัมสามารถทำให้เกิดการกลายพันธุ์ในแบคทีเรียและทำให้เกิดมะเร็งในสัตว์ทดลองได้ หากได้รับอย่างต่อเนื่อง มาทำความรู้จักกับ “อะฟลาท็อกซิน” กัน อะฟลาท็อกซิน (Aflatoxin) ถูกพบครั้งแรกในปี พ.ศ. 2503 ถือว่าเกี่ยวข้องกับสุขภาพของมนุษย์โดยตรง เพราะมีพิษรุนแรง และถูกจัดเป็นสารก่อมะเร็งโดย International Association Research Cancer (IARC) เป็นสารพิษจากเชื้อราที่เกิดในสภาวะที่มีความชื้นสูง ซึ่งประเทศไทยมีสภาวะที่เหมาะสมแก่การเกิดสารพิษอะฟลาท็อกซินพอดี  สิ่งที่น่ากลัวก็คือ สารพิษนี้สามารถทนความร้อนได้ถึง 268 องศาเซลเซียส ดังนั้นการหุงต้มธรรมดาจึงไม่สามารถทำลายสารพิษได้ การได้รับในปริมาณมากหรือน้อย และสะสมไปเรื่อย ๆ จะทำให้มีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งตับ และทุกครั้งที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกตรวจ ก็ยังคงพบถั่วลิสงที่มีอะฟลาท็อกซินเกินกำหนดอยู่มาก เมื่อร่างกายได้รับสารอะฟลาท็อกซินจะทำให้เกิดอาการชัก หายใจลำบาก ตับถูกทำลาย หัวใจและสมองบวม นอกจากนี้สารอะฟลาท็อกซินชนิด B1 ซึ่งพบได้ตามธรรมชาติ และมีความเป็นพิษสูงสุดจากทั้งหมด 4 ชนิด (B1, B2, รู้หรือไม่ถั่วลิสงมีสารพิษที่ชื่อว่า “อะฟลาท็อกซิน”

พรีไบโอติก (Prebiotics) กับโพรไบโอติก (Probiotics) แตกต่างกันอย่างไร

พรีไบโอติก (Prebiotics) กับโพรไบโอติก (Probiotics) แตกต่างกันอย่างไร พรีไบโอติก คืออะไร พรีไบโอติก (Prebiotics) คือ พรีไบโอติกช่วยให้แบคทีเรียชนิดดีในลำไส้เจริญเติบโต เมื่อลำไส้มีปริมาณของแบคทีเรียชนิดดีมากขึ้นจะทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีมากยิ่งขึ้นด้วย โพรไบโอติก คืออะไร โพรไบโอติก (Probiotics) เป็นจุลินทรีย์ที่มีชีวิตและเป็นชนิดดีที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ช่วยในการทำงานของระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่าย ช่วยในการย่อยพรีไบโอติกเพื่อกระตุ้นการทำงานของแบคทีเรียชนิดดีในลำไส้ และช่วยให้แบคทีเรียดีในลำไส้เจริญเติบโต พรีไบโอติก กับ โพรไบโอติก ต่างกันอย่างไร ทั้งพรีไบโอติกและโพรไบโอติกนั้นเป็นสิ่งที่ทำงานสัมพันธ์กัน และให้ประโยชน์ต่อร่างกายในเรื่องของระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่ายเหมือนกัน แต่จะมีความแตกต่างกันตรงที่พรีไบโอติกนั้นเป็นสารอาหารที่ได้จากการรับประทานอาหารและอาหารเสริม  ในขณะที่โพรไบโอติกจะเป็นจุลินทรีย์ที่มีชีวิตและมีประโยชน์ต่อร่างกายซึ่งสามารถพบได้จากการรับประทานอาหารและอาหารเสริมเช่นเดียวกับโพรไบโอติก นอกจากนี้พรีไบโอติกยังไม่สามารถถูกย่อยที่ลำไส้เล็กได้ จำเป็นต้องอาศัยโพรไบโอติกหรือจุลินทรีย์ที่ดีมาทำการย่อยเพื่อเป็นอาหารให้แบคทีเรียที่ดีในลำไส้ ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ร่างกายไม่ควรขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ว่าจะเป็นพรีไบโอติกหรือโพรไบโอติก เพราะทั้งสองสิ่งนี้ทำงานเกื้อกูลซึ่งกันและกัน และให้ประโยชน์ต่อร่างกายเช่นเดียวกัน   อยากทดลองสินค้า หรือต้องการพัฒนาสูตรเพื่อสร้างแบรนด์อาหารเสริม สามารถทักมาคุยกับแอดมินได้เลย โรงงานอาหารเสริม เซน ไบโอเทค ไม่หยุดที่จะพัฒนาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และความเชื่อมั่น ให้กับลูกค้าที่ได้มอบความไว้วางใจให้กับเรา เซน ไบโอเทค จะไม่หยุดพัฒนา พร้อมกับรังสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อส่งมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ทุกท่าน ติดตามนวัตกรรมใหม่ๆ ต่อได้ที่นี่

ทำไมคนไทยถึงแพ้นมวัว?

ทำไมคนไทยถึงแพ้นมวัว? คงจะมีผู้ที่ประสบปัญหาท้องเสียหลังจากดื่มนมวัวไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ไม่ต้องเป็นกังวลไป เพราะยังมีคนเอเชียอีกจำนวนมากที่ประสบปัญหานี้เช่นกัน ทำให้รู้สึกไม่กล้าดื่มนมวัวอีกต่อไป ส่งผลให้ร่างกายได้รับแคลเซียมในปริมาณที่น้อยกว่าความต้องการของร่างกาย แล้วสาเหตุมันเกิดจากอะไรกันแน่ มาอ่านไปพร้อม ๆ กันเลยค่ะ   ก่อนอื่นเพื่อน ๆ รู้จัก “เอนไซม์แลคเตส” กันไหมคะ? เอนไซม์ตัวนี้มีหน้าที่ย่อยโมเลกุลขนาดใหญ่ให้เล็กลงเพื่อให้ร่างกายนำไปใช้งาน ซึ่ง “น้ำตาลแลคโตส” ในนมวัวก็จัดอยู่ในโมเลกุลขนาดใหญ่ ดังนั้นเอนไซม์แลคเตสจึงมีหน้าที่ในการย่อยน้ำตาลแลคโตสให้กลายเป็นน้ำตาลกลูโคสและกาแลกโตสเพื่อให้ร่างกายนำไปใช้ประโยชน์   เมื่อร่างกายไม่ได้ย่อยน้ำตาลแลคโตสเป็นเวลานานๆ ความสามารถในการผลิตเอนไซม์แลคเตสก็จะค่อยๆ หายไป จนในที่สุดเมื่อมีการกระตุ้นอีกครั้ง ร่างกายจึงทำปฏิกริยาต่อต้าน เช่น ปวดท้องหรือท้องเสียหลังดื่มนม   เมื่อเอนไซม์แลคเตสไม่สามารถย่อยน้ำตาลแลคโตส จึงเกิดการหมักและกลายสภาพเป็นแก๊สต่างๆ เช่น ก๊าซไฮโดรเจน คาร์บอนไดออกไซด์และมีเทน ซึ่งก๊าซเหล่านี้จะทำให้เกิดอาการปวดท้อง ท้องเสียหลังดื่มนมนั่นเอง แล้วแบบนี้ถ้าอยากดื่มนมวัว จะทำอย่างไรได้บ้างล่ะ? เริ่มดื่มนมในปริมาณน้อยๆ และค่อยๆเพิ่มปริมาณขึ้น ไม่ควรดื่มนมขณะท้องว่าง โดยอาจจะดื่มหลังมื้ออาหาร หรือทานอาหารอื่นๆ ร่วมกับการดื่มนม ถ้าไม่มีอาการท้องเสีย แสดงว่าร่างกายสามารถย่อยนมได้แล้ว ให้เพิ่มปริมาณโดยยังต้องดื่มหลังมื้ออาหารไปก่อน ถ้าเพิ่มปริมาณแล้วร่างกายรับได้ จึงค่อยดื่มนมเมื่อท้องว่าง อยากทดลองสินค้า หรือต้องการพัฒนาสูตรเพื่อสร้างแบรนด์อาหารเสริม สามารถทักมาคุยกับแอดมินได้เลย โรงงานอาหารเสริม เซน ไบโอเทค ไม่หยุดที่จะพัฒนาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และความเชื่อมั่น ทำไมคนไทยถึงแพ้นมวัว?

สิ่งที่มือใหม่ควรรู้!! จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเวทเทรนนิ่งแบบต่อเนื่อง

สิ่งที่มือใหม่ควรรู้!! จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเวทเทรนนิ่งแบบต่อเนื่อง เวทเทรนนิ่ง คือ หนึ่งในการออกกำลังกายโดยการใช้แรงต้าน (Resistance Exercise) ซึ่งแรงต้านนี้อาจมาจากทั้งน้ำหนักตัว (Bodyweight) หรืออุปกรณ์ออกกำลังกายต่าง ๆ เช่น ดัมเบล แคทเทิลเบล บาร์เบล ยางยืดออกกำลังกายหรือแมชชีนเทรนนิ่งต่าง ๆ  ข้อดีของการเวทเทรนนิ่งอย่างต่อเนื่อง 1.ช่วยสร้างกล้ามเนื้อ เพิ่มระบบเผาผลาญ เวทเทรนนิ่งคือการเพิ่มมวลกล้ามเนื้อให้กับร่างกาย ซึ่งเวทเทรนนิ่งจะช่วยให้ร่างกายได้บริหารกล้ามเนื้อทุกส่วน ซึ่งมีผลจากงานวิจัยได้เผยว่า การมีมวลกล้ามเนื้อเยอะขึ้นก็จะเหมือนกับร่างกายมีเตาเผาผลาญไขมันที่ใหญ่ เผาผลาญได้เยอะขึ้น โดยกล้ามเนื้อ 450 กรัมสามารถเผาผลาญไขมันส่วนเกินได้ถึง 75-150 แคลอรีเลยทีเดียว 2.ช่วยให้กระดูกแข็งแรง คนเราเมื่ออายุเยอะขึ้นร่างกายจะสะสมแคลเซียมได้น้อยลง ทำให้สุขภาพกระดูกเสื่อมไปเรื่อย ๆ จนทำให้เกิดโรคกระดูกต่าง ๆ เช่น กระดุกพรุน แต่ถ้าคุณเวทเทรนนิ่งเป็นประจำ ร่างกายจะมีการสร้างมวลกระดูกขึ้น ทำให้มีความแข็งแรง ทนทาน การทำกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตจะคล่องตัว มีความสมดุล 3.ท่าทางและบุคลิกดีขึ้น เวทเทรนนิ่งเป็นการออกกำลังกายที่ต้องอาศัยหลักการโฟกัสหลายจุดเพื่อการยกที่มีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นด้านการหายใจ, ฟอร์มที่ถูกต้อง, การยกเวทด้วยแรงต้านขณะขึ้น-ลง และอีกมากมาย ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้บุคลิกภาพต่าง ๆ ของร่างกายนั้นดียิ่งขึ้น สิ่งที่มือใหม่ควรรู้!! จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเวทเทรนนิ่งแบบต่อเนื่อง

วิตามินและอาหารเสริม คู่แฝดดี ยิ่งกินคู่ยิ่งเสริมกัน

วิตามินและอาหารเสริม คู่แฝดดี ยิ่งกินคู่ยิ่งเสริมกัน เมื่อเทรนการดูแลตัวเองกำลังมาแรง สิ่งที่สำคัญต่อร่างกายแบบที่ใครก็เลี่ยงไม่ได้นั่นก็คือการรับประทานอาหารเสริมเพื่อเพิ่มวิตามินให้กับร่างกาย แต่น้อยคนจะรู้ว่าการทานควบคู่ที่ถูกต้องนั้น จะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของวิตามินให้ทำงานได้ดีมากยิ่งขึ้นอีกด้วย ซึ่งแต่ละตัวมีอะไรและต้องคู่กับชนิดไหนบ้างไปดูกันเลย แฝดดีคู่ที่ 1 วิตามินซีกับคอลลาเจน : รับประทานคู่กันจะช่วยสร้างเนื้อเยื่อใหม่ให้ผิวเนียนใส และ ทำให้ผิวพรรณไม่เหี่ยวย่น  แฝดดีคู่ที่ 2 ธาตุเหล็กกับวิตามินซี : การรับประทานธาตุเหล็กนั้น ต้องรับประทานคู่กับวิตามินซีด้วย เพื่อให้ดูดซึมและการทำงานไปใช้ได้ดี   แฝดดีคู่ที่ 3 แคลเซียมกับแมกนีเชียม : การรับประทานแคลเซียมให้สามารถดูดซึมได้ดี จะต้องมี ตัวช่วยเสริม โดยตัวช่วยในการดูดซึมที่ควรรับประทานคู่กับแคลเซียมก็คือ แมกนีเซียม, วิตามินค แล: วิตามินดี ซึ่งมีอยู่ในผักเขียวและแสงแดด แฝดดีคู่ที่ 4 วิตามินซีกับวิตามินเอและวิตามินอี : 3วิตามินนี้รับประทานด้วยกันจะให้ผลดี หรือถ้าให้ดีที่สุด แฝดดีคู่ที่ 5 น้ำมันปลาที่มีดีเอชเอกับอีพีเอ : น้ำมันปลาในที่นี้ เป็นคนละตัวกับน้ำมันตับปลานะคะ  ซึ่งวิธีการรับประทานน้ำมันปลาให้ดี ควรเลือกชนิดที่มีดีเอชเอคู่กับกับอีพีเอ ควรมีดีเอซเอ+อีพีเอ = 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน   อยากทดลองสินค้า วิตามินและอาหารเสริม คู่แฝดดี ยิ่งกินคู่ยิ่งเสริมกัน

ทานโปรตีนปริมาณเท่าไหร่ ได้ประสิทธิภาพดีที่สุด!?

ทานโปรตีนปริมาณเท่าไหร่ ได้ประสิทธิภาพดีที่สุด!? อัพเดทความเข้าใจ ปริมาณโปรตีนที่เหมาะสมแต่ละวัย ที่ทำให้สุขภาพดีที่สุด!! เป็นที่รู้กันดีว่า กล้ามเนื้อมีโปรตีนเป็นส่วนประกอบหลัก ถ้าเรามีโปรตีนเยอะ ร่างกลายก็จะสามารถสร้างกล้ามเนื้อได้เยอะ การเผาผลาญก็จะดี  หากเราได้รับโปรตีนในปริมาณที่ไม่เหมาะสม ก็มีโอกาสที่ร่างกายจะสูญเสียกล้ามเนื้อ และทำให้การเผาผลาญลดลงได้ เซน ไบโอเทค จึงมีความตั้งใจที่จะนำข้อมูลดีๆ ที่เกี่ยวข้องกับ “โปรตีน” มาอัพเดทและมาฝากกัน ใน 1 วัน เราควรจะได้รับสารอาหารโปรตีน กี่กรัมต่อวัน ปัจจุบันมีงานวิจัยและสถาบันสุขภาพ นักโภชนาการอาหารเพื่อสุขภาพ ใช้หลักเกณฑ์การคำนวณสารอาหารต่างๆ รวมไปถึงโปรตีนที่จำเป็นต่อวัน โดยยึดหลัก น้ำหนักตัวของแต่ละคนเป็นหลัก ตัวอย่างเช่น ถ้าเรามีน้ำหนักตัวที่ 65 กิโลกรัม ร่างกายเราควรรจะได้รับโปรตีนอยู่ที่ 65 กรัม เป็นอย่างน้อย ทั้งนี้ แต่ละคนแต่ละวัยอาจจะมีปริมาณรับมากหรือน้อยแตกต่างกันออกไป เช่น บุคคลทั่วไป ควรได้รับโปรตีน 1 กรัม ต่อ น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม คุณแม่หรือผู้ที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ควรได้รับโปรตีน 1.2-2 กรัม เพื่อนำสารอาหารไปซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ หรือนำไปใช้ในการพัฒนาการส่วนต่างๆ ทานโปรตีนปริมาณเท่าไหร่ ได้ประสิทธิภาพดีที่สุด!?

สารสกัดที่ช่วยให้สาวๆตัวหอม จนหนุ่มๆหลงไหล

สารสกัดที่ช่วยให้สาวๆตัวหอม จนหนุ่มๆหลงไหล สาวๆเคยรู้บ้างไหมคะว่า บนโลกเรานี้มีสารสกัดที่ช่วยให้เราตัวหอมได้ด้วย!! สารสกัดตัวนั้นคืออะไร? จะมาบอกต่อกันค่ะ Rosehips  หรือที่เรียกว่า “ผลกุหลาบป่า” อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ ที่มีประโยชน์มีวิตามินเอช่วยทำให้ผิวชุ่มชื่นเนียนนุ่มไม่หยาบกร้านและช่วยลดเลือนจุดด่างดำให้ดูจางลงมีวิตามินซีสูงกว่าผลไม้ตระกูลส้มถึง 20 เท่า   และยังมีวิตามินซีที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระทำให้ผิวกระจ่างใสอีกด้วย ประโยชน์ของ Rosehips ช่วยลดเลือนริ้วรอยจุดด่างดำ ฟื้นฟูและซ่อมแซมเซลล์ผิวจากการทำลายของแสงแดดและมลภาวะแวดล้อม ป้องกันการอักเสบของสิว มี Omega 3, 6 และ 9  ช่วยทำให้ผิวแข็งแรงเปล่งปลั่ง ผิวพรรณอ่อนเยาว์และดูมีน้ำมีนวลอยู่เสมอ อุดมไปด้วยcarotenoids beta-carotene, lutein, zeaxanthin และlycopene ช่วยยับยั้งการเกิดออกซิเดนซ์ทให้ผิวพรรณกระจ่างใสไร้ริ้วรอย ดังนั้นสาวๆคนไหนที่อยากทดลองสินค้า หรือต้องการพัฒนาสูตรเพื่อสร้างแบรนด์อาหารเสริม สามารถทักมาคุยกับแอดมินได้เลย โรงงานอาหารเสริม เซน ไบโอเทค ไม่หยุดที่จะพัฒนาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และความเชื่อมั่น ให้กับลูกค้าที่ได้มอบความไว้วางใจให้กับเรา เซน ไบโอเทค จะไม่หยุดพัฒนา พร้อมกับรังสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อส่งมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ทุกท่าน ติดตามนวัตกรรมใหม่ๆ ต่อได้ที่นี่

POWER กับ EXTRACT ต่างกันยังไงในอาหารเสริม?!

POWER กับ EXTRACT ต่างกันยังไงในอาหารเสริม?! มีใครเคยสังเกตุกันบ้างไหมคะ ว่าทำไมหลังสลากผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ถึงมีสารสำคัญตัวเดียวกัน แต่บางแบรนด์ใช้ POWER และบางแบรนด์ใช้ EXTRACTวันนี้แอดมินจะมาอธิบายให้ฟังค่าา สมุนไพรหรือพืช ผัก ผลไม้ ที่มีสรรพคุณในการบำรุงร่างกายต่าง ๆ ที่อยู่ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ส่วนใหญ่นั้นจะผ่านกระบวนการแปรรูป ที่นิยมกันมีอยู่ 2 แบบ คือ 1.แบบสารสกัด (Extract)  เป็นการนำสมุนไพรมาสกัดด้วยตัวทำละลาย  ที่เหมาะสมเพื่อดึงสารสำคัญ หรือสารที่ออกฤทธิ์ทางชีวภาพออกมาจากตัวสมุนไพร ซึ่งสามารถพบได้หลากหลายรูปแบบ เช่น ละลายในแอลกอฮอล์ความเข้มข้นต่าง ๆ หรือในน้ำ แต่ก็ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของสารชนิดนั้นๆ 2.แบบผงสด (Powder)  เป็นการนำสมุนไพรมาทำให้แห้ง แล้วบดเป็นผง Extract vs Powder คุณสมบัติแตกต่างกันอย่างไร? โดยสรุปข้อดีสมุนไพรในรูปแบบแบบสารสกัด (Extract) คือ มีความเข้มข้นมากกว่า ทานในปริมาณที่น้อยกว่าและออกฤทธิ์ได้ดีกว่าแบบผงสด (Powder) นั่นเองค่ะ  ดังนั้นเจ้าของแบรนด์คนใดที่สนใจผลิตอาหารเสริมไม่ว่าจะรูปแบบ POWER หรือ  EXTRACT สามารถสอบถามหรือขอข้อมูลเพิ่มเติมกับแอดมินได้เลยน้าาา ที่ช่องทางติดต่อด้านล่างเว็บไซต์ค่ะ   POWER กับ EXTRACT ต่างกันยังไงในอาหารเสริม?!

คอลลาเจนและกลูต้าทานกี่วันถึงจะเห็นผล??

คอลลาเจนและกลูต้าทานกี่วันถึงจะเห็นผล?? ปัจจุบันการเติมคอลลาเจนและกลูต้าให้กับร่างกายมีหลายวิธีมาก เช่น การทานทั้งแบบผงชงดื่มหรือแบบเม็ด การฉีดเข้าไปในร่างกายโดยตรง หรือการทาผิวในรูปแบบของสกินแคร์ต่างๆ แต่วิธีที่เป็นที่นิยมที่สุดและมีราคาไม่สูงนักก็คือการทานนั่นเองค่ะ แต่หลาย ๆ คนคงสงสัยอยู่ไม่น้อยว่าคอลลาเจนและกลูต้า ทานกี่วันถึงจะเห็นผล? ทานนานแค่ไหนถึงจะดี? วันนี้เรามีคำตอบให้ค่ะ คอลลาเจน ถ้าต้องการทานเพื่อบำรุงผิว ผม เล็บ ควรทานต่อเนื่อง เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 4 สัปดาห์ขึ้นไป ในปริมาณ 2,000-10,000 มิลลิกรัมต่อวัน  ถ้าต้องการทานเพื่อบำรุงกระดูกและข้อต่อ ควรทานต่อเนื่อง เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 12 เดือน ในปริมาณ 5,000-10,000 มิลลิกรัมต่อวัน กลูต้า ควรทานต่อเนื่อง เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 4 สัปดาห์ ในปริมาณ 250- 500 มิลลิกรัมต่อวัน   นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยรายงานว่า การทานคอลลาเจนต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์ ช่วยให้ผิวพรรณมีความชุ่มชื้นขึ้น และการทานต่อเนื่องเป็นเวลา 12 เดือน ช่วยลดระดับโปรตีนที่ทำให้กระดูกเสื่อมได้    เพื่อน ๆ คงเห็นแล้วใช่ไหมคะว่าควรทานคอลลาเจนนานแค่ไหนถึงจะเห็นผล คอลลาเจนและกลูต้าทานกี่วันถึงจะเห็นผล??